ถ้าหากว่าเรานั้นจำกันได้คนอาจจะคุ้นเคยว่าเคยดูหนังสุดบู๊ที่ยิงกันมันส์สุดๆมาก่อน แต่หลังจากที่ได้ ดูหนังเรื่องในภาคแรกไปเราคิดว่าเรื่องราวนั้นจะจบลงไปเสียแล้ว แต่ว่าใครจะไปเชื่อว่าหนังเรื่อง Extraction 2 คนระห่ำภารกิจเดือด 2 ได้มีการโผล่ขึ้นมาให้เรานั้นได้ดูกัน ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้นั้นยังคงความดุเดือดเอาไว้เช่นเคย หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากหนังภาคแรกมาอย่างล้นหลามหนังเรื่องนี้ก็ยังคงสานต่อความสนุกต่อมาเหมือนเดิมในรอบนี้นั้นได้มีการใช้สถานที่ถ่ายทำเป็นจังหวัดราชบุรีของประเทศไทย จึงทำให้ต่างชาติได้รู้จักสถานที่แห่งนี้มากขึ้นและการมาของเรื่องราวในภาคต่อในครั้งนี้นั้นจะมีความสามารถที่ทำให้เรานั้นมีความสนุกได้เท่าภาคแรกหรือเปล่า เราก็คงจะต้องไปสัมผัสกับความดุเดือดเผ็ดมันและความอลังการทั้งหมดได้จากการดูหนังเรื่องนี้ไปด้วยกัน
เหตุการณ์ภาคต่อใน Extraction 2 คนระห่ำภารกิจเดือด 2 จะเป็นเรื่องราวที่สานต่อจากภาคแรกโดยตรง เราจะเห็นถึงการเอาชีวิตรอดของเรคที่ออกมาได้อย่างหวุดหวิดเกือบเสียชีวิตไปเสียแล้ว พอเขาได้กลับมาอีกครั้งในรอบนี้เขาก็ต้องไปทำภารกิจสวมบทบาทเป็นทหารรับจ้างคนหนึ่งที่ต้องไปอยู่ในตลาดมืดของประออสเตรเลีย โดยภารกิจใหม่นี้นั้นมีความเสี่ยงมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า โดยคราวนั้นจะต้องไปทำการเข้าช่วยเหลือเพื่อช่วยชีวิตครอบครัวหนึ่งที่พวกอาชญากรชาวจอร์เจียสุดเหี้ยมโหดที่เพิ่งออกจากคุกมาได้เพียงไม่นานจับไปทำการทรมาน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในระหว่างที่เขาได้ทำภารกิจนี้นั้นไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขาจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
ถ้าใครที่เป็นแฟนคลับและติดตามดูหนังเรื่องนี้กันมาตั้งแต่ภาคแรก เราต้องขอบอกก่อนที่พวกคุณนั้นจะหวาดกลัวไปกันเองว่าหนังเรื่องนี้นั้นยังคงได้รับทีมงานผู้กำกับเหมือนเดิมทุกอย่างเราจึงได้แซม ฮาร์เกรฟ กลับมาสานต่อเรื่องราวที่ควรจะเป็นจากภาคแรกได้อย่างลื่นไหลลงตัวไม่ต้องทำให้แฟนคลับของหนังเรื่องนี้เป็นกังวลกันเลย และการกลับมาในครั้งนี้นั้นเขาก็ยังคงเอาใจแฟนคลับสายหนังบู๊อยู่เหมือนเดิมโดยการใส่ฉากแอ็กชันที่สุดอลังการและมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดสาด จนทำให้ใครก็ตามที่ได้ไปดูหนังเรื่องนี้นั้นลุ้นกันจนนั่งไม่ติดกันเลย
เราจึงขอสรุปได้ว่า Extraction 2 เป็นการกลับมาที่ทำให้เรานั้นได้รับความสนุกไม่แพ้ภาคแรกกันเลย โดยฉากต่อสู้แต่ละฉากนั้นก็ทำให้เรานั้นได้ตื่นเต้นกันได้ตลอด ซึ่งเหมาะสมสำหรับแฟนหนังที่ต้องการหนังที่มีฉากแอ็กชันอย่างมาก โดยการได้นักแสดงหลักคนเดิมอย่างคริส เฮมสเวิร์ธมาทำการดำเนินเรื่องเหมือนเดิม ก็ทำให้หนังเรื่องนั้นสามารถรักษามาตรฐานเอาไว้ไม่เคยลดลงเลย แถมดูเหมือนว่าหนังเรื่องนี้นั้นได้มีเรื่องราวต่างๆที่มีความเข้มข้นมากกว่าเดิมเสียอีก จึงทำให้รู้สึกว่าหลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้เป็นระยะเวลากว่าสองชั่วโมงนั้นได้เต็มไปด้วยความประทับใจกันตั้งแต่ต้นยันตอนจบเลย